ชาดกว่าด้วยการคบคนชั่ว-ทุพภิยมักกฏชาดก-ชาดก 500 ชาติ

11 มิถุนายน 2562 14:19 น.


ครั้งเมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน เหล่าภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรม ถึงความอกตัญญู ความประทุษร้ายมิตรของพระเทวทัตด้วยเหตุเกิดจาก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เหล่าพระญาติก็เกิดความเลื่อมใสออกบวชตาม

เจ้าชายเทวทัตก็ขอร่วมออกบวชด้วย และเหล่าพระญาติก็ได้บรรลุมรรคผลในเวลาต่อมา แต่พระเทวทัตกลับได้แต่ญาณขั้นต่ำ แค่สำแดงฤทธิ์ได้เพียงบางอย่างพระเทวทัตมีใจอิจฉาพระพุทธเจ้าที่ทรงเหนือกว่าตนทุกอย่าง จึงมุ่งร้ายและคิดทำลายพระพุทธองค์ถึงสามครั้ง

ครั้งแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพรานธนูให้ไปลอบสังหารพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ “ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหลบลูกธนูจากเราได้พ้นหรอก งานนี้ได้ค่าแรงงามนักเราต้องทำให้สำเร็จจงได้” แต่เมื่อนายธนูนั้นแลเห็นพระพุทธองค์ กลับมีอาการอ่อนเปลี้ย กลับยกธนูไม่ขึ้น

จิตใจอันเหี้ยมโหดของพรานนั้นก็กลับกลายอ่อนโยนด้วยอำนาจพุทธบารมี ทิ้งธนูคลานเข้าไปกราบบาท พระพุทธองค์จึงแสดงเทศนาจนพรานนั้นแลเห็นทางธรรม เมื่อแผนแรกไม่สำเร็จ พระเทวทัตก็วางแผนชั่วครั้งที่สอง คือให้พนักงานเลี้ยงช้าง ปล่อยช้างดุร้ายซึ่งกำลังตกมัน

ชื่อนาฬาคีรีออกไปหมายให้เหยียบแล้วใช้งาทิ้มแทงพระพุทธเจ้าในขณะออกบิณฑบาต ช้างนาฬาคีรีวิ่งตรงไปหมายทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เมื่อเข้าไปใกล้พระพุทธองค์แล้ว ช้างนาฬาคีรีกลับไม่ทำร้าย แล้วยังหมอบชูงวงถวายความเคารพพระพุทธองค์ สร้างความเจ็บใจให้แก่พระเทวทัตยิ่งนัก

ครั้งที่สามพระเทวทัตขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏ แล้วกลิ้งหินลงมา หมายให้หล่นทับพระพุทธเจ้า ขณะทรงดำเนินผ่านช่องเขาข้างล่าง “ ครั้งนี้ เราจะลงมือฆ่าท่านด้วยตัวของเราเอง ไม่มีทางรอดไปได้หรอก ”

เมื่อพระเทวทัตกลิ้งหินนั้นลงไป หินนั้นเกิดไปกระแทกกับก้อนหินตามทางลาดแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยและสะเก็ดหินก้อนหนึ่ง ปลิวลอยมา
กระทบพระบาทของพระองค์จนช้ำห้อพระโลหิต

แผนร้ายทั้งสามของพระเทวทัตเป็นการกระทำอันชั่วร้าย เมื่อผู้ใดได้รู้ได้เห็นก็เกิดความเกลียดชัง กล่าวติเตียนการกระทำเหล่านี้ ไม่เว้นแม้แต่
เหล่าพระภิกษุสงฆ์ที่ยกการประทุษร้ายมิตรเป็นพระญาติตนเองของพระเทวทัต มาเป็นหัวข้อในการสนทนาธรรมกัน

เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุสงฆ์สนทนาธรรมกัน จึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุ เทวทัต เป็นผู้อัตกตัญญูประทุษร้ายมิตร มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นแม้เมื่อก่อนก็ได้เป็นเช่นนี้ ” ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีป่าใหญ่แห่งหนึ่งในหมู่บ้านกาสี ป่านี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ ดอกไม่นานาพันธ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสิงสาราสัตว์มากมาย แต่ในความอุดมสมบูรณ์นั้น ก็ยังขาดแหล่งน้ำ

สิ่งจำเป็นของเหล่าสัตว์อยู่ เนื่องจากในป่าใหญ่แห่งนี้มีเพียงบ่อน้ำลึกซึ่งอยู่ที่ชันใหญ่เท่านั้น สัตว์ทั้งหลายในป่าไม่สามารถลงไปดื่มน้ำในบ่อใหญ่นี้ได้
“โอ๊ยๆๆ หิวน้ำๆ น้ำในบ่อใสแจ๋วน่ากินจังเลย ” “ นั่นนะสิใครจะกล้าลงไปกินละ บ่อน้ำลึกจะตาย ชันก็ชัน ลงไปมีหวังจมน้ำตายกันพอดี ”

“ สักวัน คงมีใครมาช่วยเราได้แหละ ตอนนี้ก็อาศัยกินน้ำค้างจากต้นไม้ ผลไม้ไปก่อนแล้วกัน ” วันหนึ่งมีชาวบ้านเข้ามาในป่าเพื่อหาไม้ใหญ่ตัดไปทำที่อยู่อาศัยได้เดินผ่านบ่อน้ำนั้นเข้าพอดี จึงแวะพักล้างหน้าล้างตา ดื่มน้ำกันพอให้หายเหนื่อย

“ เฮ้อ เดินมากันตั้งไกลพักกันหน่อยเถอะพวกเรา เดี๋ยวค่อยขนไม้กันต่อ ” “ ก็ดีเหมือนกัน ขอกินน้ำกินท่าให้หายเหนื่อยหน่อยเถอะ ” เหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่าเมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มนั้นตักน้ำออกมาใช้กันชื่นใจ ก็ประสงค์จะดื่มกินน้ำเหล่านั้นบ้าง จึงเดินออกมาจากที่หลบตัว

“ ดูนั่นสิพวกเรา มีคนตักน้ำในบ่อนั้นออกมากินด้วย ” “ โห เห็นแล้วอยากกินจัง ไปขอน้ำเขากินกันไหมพวกเรา ” “ เฮ้ยดูนั่นสิ สัตว์ป่าเยอะแยะเลย ออกมาทำอะไรกันนี่ ” “ มันคงจะหิวน้ำละมั่ง ดูสิกินกันใหญ่เลย ” “ บ่อน้ำนี้ถ้าจะลึกเกินไป พวกมันคงจะลงมากินกันไม่ได้แน่ ”

“ น่าสงสารจัง พวกเราช่วยตักน้ำให้มันกินหน่อยดีไหม นี่คงหิวกันมากละสิ มองตาละห้อยเลย ” ด้วยความสงสาร ชาวบ้านกลุ่มนั้นจึงช่วยกันทำรางไม้ใส่น้ำ แล้วตักน้ำในบ่อน้ำนั้นใส่ในรางจนเต็ม เพื่อให้พวกสัตว์ได้ดื่มกิน “เอ้า ตักน้ำขึ้นมาให้แล้วนะ พวกเจ้าออกมากินกันเถอะ ไม่ต้องกลัวพวกเราหรอก ”

เมื่อช่วยกันตักน้ำใส่จนเต็มรางแล้ว เหล่าชาวบ้านใจบุญก็เดินทางกลับ ปล่อยให้พวกสัตว์ป่าได้ออกมาดื่มกินน้ำ หลังจากนั้นเมื่อมีชาวบ้านเข้ามาในป่านี้ครั้งใด ทุกครั้งที่พวกเขาได้แวะพักที่บ่อน้ำแห่งนี้ก็จะช่วยกันตักน้ำใส่ราง ให้สัตว์น้อยใหญ่ในป่าได้ดื่มกินกันเสมอ

“ รางน้ำนี้คงมีคนทำไว้ใส่น้ำให้สัตว์ในป่าได้ดื่มกินสินะ เอ้า พวกเรา มาช่วยกันตักน้ำใส่รางน้ำนี้กันเถอะ แล้วค่อยไปกันต่อนะ ” พวกสัตว์ป่าได้ดื่มกินน้ำกันอย่างมีความสุข ด้วยมีมนุษย์ใจบุญเมตตา สัตว์ต่างๆ ในป่า เมื่อรู้ว่ามีคนตักน้ำใส่รางให้ ก็ทยอยกันออกมากินน้ำ

เวลาผ่านไป น้ำในรางก็เหลือเพียงน้อยนิด เมื่อไม่มีชาวบ้านเข้ามาในป่า ก็ไร้ผู้ช่วยเหลือ ตักน้ำออกจากบ่อนี้ให้พวกมันได้อาศัยดื่มกิน “ โอ๊ย เห็นไหม
น้ำหมดอีกแล้ว ต้องเป็นเพราะเจ้ากวางแน่เลย กินเยอะ ”

“ เจ้าอย่ามาว่าใครเขาเลยกลุ่มลิงของเจ้านั่นแหละ กินน้ำกันหกเลอะเทอะเต็มพื้น เพราะพวกเจ้านั่นแหละน้ำจึงหมดเร็ว” วันหนึ่งมีพราหมณ์ผู้ทรงศีลเดินสัญจรผ่าน ณ บ่อน้ำนั้น เมื่อเดินทางมาไกลจนเหนื่อยล้า จึงนั่งพักและตักน้ำขึ้นมาเพื่อดื่มกิน

“ เฮ้ย พวกเรา ดูนั่นสิ มีฤาษีมากินน้ำในบ่อนั้นแล้ว ครั้งนี้เขาจะตักน้ำใส่รางให้พวกเรากินไหมนะ ” “ รออย่างนี้ไม่ไหวแล้ว ออกไปขอน้ำกินกันดีกว่า ” เหล่าลิงในป่านั้น เมื่อเห็นมีคนมาดื่มกินน้ำในบ่อก็ดีใจ หวังจะให้ผู้ทรงศีลตกน้ำให้พวกมันได้ดื่มกินบ้าง

พวกมันปีนลงมาจากต้นไม้ ทำท่าทางน่าสงสารเพื่อให้พราหมณ์เห็นใจ “ อ้าวเจ้าพวกลิงนี้มานั่งทำหน้าทำตาน่าสงสาร น่าเห็นใจ คงจะหิวน้ำกันละสิ
บ่อน้ำนี้ก็ลึกนัก พวกเจ้าคงปีนไปกินกันไม่ไหวละสิ มามะ เราจะตักน้ำใส่รางให้พวกเจ้าดื่มกินนะ ” ด้วยความเห็นใจ พราหมณ์ตักน้ำใส่รางจนเต็ม
พวกลิงเมื่อเห็นน้ำเต็มรางก็ดีใจ ลงมากินน้ำ บ้างก็กระโดดโลดเต้นมากินน้ำ จนน้ำกระเซ็น

เจ้าลิงซุกซนไม่รู้ค่าของน้ำ ไม่สำนึกบุญคุณของผู้ทรงศีลด้วยไม่เห็นว่ามีสัตว์อื่นใดมากินน้ำด้วยกับพวกมัน “ เฮ้ สนุกจังเลย เย็นๆๆๆ ชื่นใจ ” ทางด้านพราหมณ์ครั้นตักน้ำใส่รางให้พวกลิงจนเสร็จแล้ว คิดจะพักผ่อน จึงนั่งลงที่โคนไม้ต้นหนึ่ง “ เฮ้อ ขอพักตรงนี้สักหน่อยเถอะ ดูสิ เจ้าลิงพวกนี้ เมื่อไม่มีน้ำก็ทำท่าน่าสงสารน่าเห็นใจ แต่พอมีน้ำจนเต็มรางแล้วก็ชะล่าใจเล่นน้ำกันยกใหญ่ ไม่คิดที่จะแบ่งปันให้สัตว์อื่นกินบ้างเลย”

เมื่อเจ้าลิงกินน้ำกันจนพอใจ พวกมันก็เลิกเล่นน้ำในรางน้ำนั้น หันมามองพราหมณ์ที่นั่งพักใต้ต้นไม้ แล้วทำหน้าล่อกแล่กหลอกล่อพราหมณ์ “จะให้นั่งพักดีๆ ไม่ได้หรอกต้องแกล้งกันสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะผิดธรรมชาติลิงอย่างพวกเรา เจี๊ยกๆๆๆ ” “ เจ้าวายร้าย ลิงอัปปรีย์พวกเจ้ากระหายเหน็ดเหนื่อยมา เราก็ให้น้ำดื่มแก่เจ้า บัดนี้เจ้าทำหน้าล่อกแล่กหลอกเราได้ น่าอนาถใจที่เราให้ความช่วยเหลือสัตว์ชั่วๆ อย่างพวกเจ้าไม่มีประโยชน์เลย ลิงผู้ประทุษร้ายมิตร ”

 “ ฮ่าๆๆ เจี๊ยกๆๆ ท่านพราหมณ์ ท่านได้ยินหรือได้เห็นที่ไหนว่า ลิงรู้คุณคน มีมารยาท มีศีล มีอยู่ เราจะถ่ายคูถรดศีรษะท่านเดี๋ยวนี้แหละ แล้วจึงจะไป นี่เป็นธรรมดา นี่เป็นสภาพโดยกำเนิดของพวกเรา ผู้ชื่อว่าเป็นลิง คือถ่ายคูถรดหัวผู้มีอุปการะ เจี๊ยกๆๆๆๆ ” พราหมณ์ผู้ทรงศีลครั้นได้ยินดังนั้นจึงเตรียมจะลุกไป ขณะนั้นเองลิงกระโดดจากกิ่งไม้ ทำคล้ายจะห้อยโหน ถ่ายรดศีรษะพราหมณ์ แล้วร้องเข้าป่าไป
 
 “ เจี๊ยกๆๆๆ นี่ไง ธรรมชาติของลิง นี่แหละคือการตอบแทนที่ท่านตักน้ำให้พวกเรา ฮ่าๆ เจี๊ยกๆๆๆ ” พราหมณ์นั้น เมื่อเห็นธรรมชาติของลิง จึงเข้าใจมิได้ติดใจเอาโทษ เมื่อได้ชำระล้างร่างกายเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ประพฤติตนรักษาศีลจนสิ้นอายุขัย “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตไม่รู้จักคุณมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ไม่รู้จักคุณที่เราทำไว้เหมือนกัน ” พระพุทธเจ้าทรงนำพระเทศนานี้มาแล้วทรงประชุมชาดกว่า
 

ลิงในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัต ในครั้งนี้

ส่วนพราหมณ์ ได้เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

">ทุพภิยมักกฏชาดก

 

ขอขอบคุณเรื่องจาก https://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก